วิชา: Highway Engineering
เนื้อหา: Flexible and rigid pavement design
ระดับความยากง่าย: ปานกลาง
จำนวนข้อสอบ: 12 ข้อ

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ข้อ 1

ข้อที่:                        1

โจทย์:                      จงหาจำนวนรถบรรทุกที่ใช้ในการออกแบบโครงสร้างทาง

                                 ตลอดอายุการใช้งาน 7 ปี โดยรถบรรทุกมีอัตราการเพิ่มขึ้น
                                 5 % คงที่ทุกปี (Growth Factor = 8.14 ) กำหนดให้ในปีแรก
                                 คาดว่าจะมีจำนวนรถทั้งหมดทุกประเภทวันละ
                                 ADT = 20,000 คัน/วัน Directional Value = 60 %
                                 จำนวนรถบรรทุกคิดเป็น 15 % ของรถทั้งหมด และรถบรรทุก
                                 จำนวน 90 % วิ่งอยู่ในช่องทางที่ใช้ออกแบบ

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:                  1.3 x 104 คัน

คำตอบ 2:                  3.2 x 106 คัน

คำตอบ 3:                  4.8 x 106 คัน

คำตอบ 4:                  8.0 x 106 คัน

อธิบายคำตอบ:

การคำนวณจำนวนรถบรรทุกในปีแรก = จำนวนวันใน 1 ปี x ADT x Directional Value x จำนวนรถบรรทุกทั้งหมด x จำนวนรถบรรทุกที่วิ่งอยู่ในช่องทางที่ใช้ออกแบบ
จำนวนรถบรรทุกในปีแรก = 365 x 20,000 x 0.60 x 0.15 x 0.90
                                      = 591,300 คัน

การคำนวณจำนวนรถบรรทุกตลอดอายุออกแบบ = จำนวนรถบรรทุกในปีแรก x Growth Factor
จำนวนรถบรรทุกตลอดอายุออกแบบ = 591,300 x 8.14

                                                      = 4,813,182 คัน
                                                      = 4.8x106 คัน

ข้อ 2

ข้อที่:                        2

โจทย์:                     จงหาปริมาณของเหล็กตะแกรงตามความยาวของผิวทาง

                                คอนกรีตขนาด 2 ช่องทาง แผ่นคอนกรีตหนา 20 cm.
                                ความกว้างของแต่ละช่องทางเท่ากับ 3.50 m. ระยะห่าง
                                ระหว่างรอยต่อ15 m. กำหนดให้ใช้เหล็กตะแกรงสำเร็จรูป
                                fs = 2,700 ksc ความหนาแน่นคอนกรีต = 2400 kg/m3
                                และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน, f มีค่า 1.50

รูปภาพประกอบคำถาม:

คำตอบ 1:                  4.0   cm2/m
คำตอบ 2:                  2.0   cm2/m
คำตอบ 3:                  1.5   cm2/m
คำตอบ 4:                  1.0   cm2/m


อธิบายคำตอบ:            
                                        

ข้อ 3

ข้อที่:                        3

โจทย์:                     ข้อมูลด้านการจราจรที่นำมาใช้ในการออกแบบความหนา

                                ของถนนลาดยางของกรมทางหลวงคือข้อใด

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:                  Initial Daily Traffic

คำตอบ 2:                  Traffic Signalization

คำตอบ 3:                  Hourly Traffic

คำตอบ 4:                  Critical Lane Volume

อธิบายคำตอบ:

         
          โครงสร้างถนนลาดยางสามารถออกแบบได้หลากหลายวิธี โดยสามารถแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ประเภท คือ การออกแบบเชิงประสบการณ์ และการออกแบบเชิงวิเคราะห์ การออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางตามวิธีของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 (ค.ศ. 1970) นี้เป็นวิธีเชิงประสบการณ์วิธีหนึ่ง ซึ่งกรมทางหลวงได้เลือกใช้ออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางในประเทศไทยมายาว นานกว่า 25 ปี เพราะสามารถออกแบบได้สะดวก รวดเร็ว และต้องการ การทดสอบวัสดุที่ไม่ยุ่งยากมากนัก ดังนั้นคู่มือฉบับนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางเข้าใจตรงกันถึงหลักการและกระบวนการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางในประเทศไทย และให้สามารถออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางได้อย่างมั่นใจ

หลักการออกแบบ
          การออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางโดยวิธี ของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 เป็นวิธีเชิงประสบการณ์ ซึ่งนำเอาข้อมูลจากผลการทดลองในถนนทดสอบ AASHTO Road Test, WASHO Road Test, British Road Test, และประสบการณ์จากงานจริง มาสร้างเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ กับ ความหนาของชั้นพื้นทางที่ต้องการ โดยวัสดุในชั้นพื้นทางที่ได้ตามความสัมพันธ์นี้จะเป็น Asphalt ทั้งหมด หรือที่เรียกว่า Full-Depth Asphalt Thickness (TA) อย่างไรก็ตาม ราคาค่าก่อสร้าง Full-Depth Asphalt Pavement ค่อนข้างสูงมาก และไม่สามารถเลือกใช้วัสดุท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น Asphalt Institute จึงได้กำหนดค่าคงที่มาจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า Substitution Ratio เพื่อใช้แปลงความหนาของวัสดุทดแทนอื่นให้เป็นความหนาของชั้น Asphalt ทำให้ผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้วัสดุอื่นที่ถูกกว่าทดแทนและสามารถกำหนดให้โครงสร้างถนนลาดยางให้มีลักษณะเป็นชั้นๆได้ จากการศึกษาพบว่า ขนาดหน่วยแรงอัดในแนวดิ่งที่เกิดในโครงสร้างชั้นทางจะมีการเปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับความลึก ดังแสดงในรูปที่ 1 โดยหน่วยแรงอัดในแนวดิ่งดังกล่าวจะมีความเข้มข้นสูงบริเวณที่ใกล้กับผิวจราจร และจะลดน้อยลงตามลำดับเมื่อระดับความลึกมากขึ้น ดังนั้นหากต้องการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางให้คุ้มค่าจึงมักออกแบบใช้วัสดุที่มีคุณภาพดีที่สุดไว้ใกล้กับผิวจราจร และวัสดุที่มีคุณภาพรองลงมาให้ใช้ในชั้นลึกลงไป

องค์ประกอบข้อมูลในการออกแบบ
          องค์ประกอบข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางตามวิธีของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 ประกอบด้วย ปริมาณการจราจร และ ความแข็งแรงของดินฐานราก ปริมาณการจราจรจัดให้อยู่ในรูปของ Design Traffic Number (DTN) และความแข็งแรงของดินฐานรากให้อยู่ในรูปของค่า CBR, Plate Bearing k-value,หรือ ค่า R-value ค่าใดค่าหนึ่ง องค์ประกอบข้อมูลทั้งสองนี้จะกล่าวอย่างละเอียดในบทที่ 2 และบทที่ 3 ตามลำดับ นอกจากนั้นอัตราส่วนความแข็งแรงของวัสดุต่างๆ ในโครงสร้างชั้นทาง (Substitution Ratios) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่ใช้ในการแปลงความหนาของ Full Depth Asphalt Pavement ให้เป็นถนนที่มีโครงสร้างทางเป็นชั้นๆ โดย Substitution Ratios จะกล่าวในส่วนของการแปลงความหนาโครงสร้างชั้นทางในบทที่ 4

ปริมาณการจราจร
          ปริมาณการจราจรที่ใช้ในการออกแบบตามวิธี Asphalt Institute ฉบับที่ 8 จะอยู่ในรูปของ Design Traffic Number (DTN) โดยค่า DTN นั้นหมายถึง จำนวนเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน ของจำนวนรถที่มีน้ำหนักเพลามาตรฐานเท่ากับ 18,000 ปอนด์ (Equivalent Single Axle Loads, ESAL) ที่แปลงมาจากจำนวนรถที่มีชนิดและน้ำหนักเพลาต่างๆกัน ซึ่งคาดว่าจะมาใช้ในช่องจราจรที่ออกแบบตลอดช่วงระยะเวลาที่ออกแบบ การประมาณค่าของ DTN ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายตัวด้วยกัน เช่น ระยะเวลาออกแบบ จำนวนรถบรรทุกหนัก อัตราการเพิ่มของรถบรรทุก ฯลฯ ดังนั้นเพื่อให้ทำความเข้าใจในการหาค่า DTN ง่ายยิ่งขึ้นจึงขอให้คำจำกัดความของตัวแปรต่างๆ ที่จำเป็นต้องทราบดังนี้ Equivalent 18,000-Pound Single-Axle Loads (ESAL) คือ จำนวนเที่ยวของน้ำหนักเพลาเดี่ยวมาตรฐาน 18,000 ปอนด์ ที่เปรียบเทียบแปลงมาจากจำนวนเที่ยวของน้ำหนักเพลาที่มีขนาดและชนิดต่างๆ กัน โดยที่น้ำหนักเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อความเสียหายของโครงสร้างชั้นทางเท่ากัน

          Design Lane คือ ช่องจราจรที่มี จำนวน ESAL มากที่สุด โดยปกติแล้ว Design Lane คือ ช่องทางใดช่องทางหนึ่งในถนน 2 ช่องจราจร แต่ถ้าเป็นถนนที่มีช่องจราจรมากกว่า 2 ช่อง มักจะกำหนดช่องซ้ายสุดเป็น Design Lane เนื่องจากในประเทศไทย ช่องซ้ายสุดเป็นช่องจราจรที่รถหนักแล่นผ่านมากที่สุด

          Design Period คือ จำนวนปีนับตั้งแต่เปิดจราจรจนถึงปีที่คาดว่าจะต้องปรับปรุงบูรณะโครงสร้างชั้นทางเพื่อให้ถนนใช้การได้ดีอีกครั้ง ผู้ออกแบบไม่ควรสับสนว่า Design Period นี้คือ
Pavement Life เนื่องจาก Pavement Life นั้นจะไม่สิ้นสุดหากว่ามีการปรับปรุงหรือบูรณะโครงสร้าง แต่ Pavement Life จะหมดไปเมื่อคันทางหมดสภาพไปแล้วหรือ แนวคันทางเปลี่ยนไปเท่านั้น

         Initial Daily Traffic (IDT) คือ จำนวนของรถทุกชนิดที่คาดว่าจะมาใช้ถนนในปีแรกที่เปิดการจราจร เฉลี่ยต่อวันทั้งสองทิศทาง ค่า IDT ที่ใช้ในปัจจุบันได้จากการสำรวจปริมาณการจราจรและเก็บสถิติเป็นระยะเวลานาน สามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้จากกองวิศวกรรมจราจร กรมทางหลวง 4

          Initial Traffic Number (ITN) จำนวนเที่ยว เฉลี่ยต่อวันของ ESAL ซึ่งคาดว่าจะมาใช้ Design Lane ในช่วงปีแรกที่เปิดการจราจร

          Design Traffic Number (DTN) คือ จำนวนเที่ยวเฉลี่ยต่อวันของ ESAL ที่คาดว่าจะมาใช้ Design Lane ตลอดช่วงระยะเวลา Design Period

ข้อ 4

ข้อที่:                        4

โจทย์:                      Traffic Data in Year 1993 ADT = 1987 vpd
                                  Finish Design in Year 1995
                                 Start Construction in Year 1996
                                 Finish Construction and Start Operation in 1998
                                 จงหา ADT in Year 1998 เมื่อ Traffic Growth Rate = 6%

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:                  2233 vpd

คำตอบ 2:                  2367 vpd

คำตอบ 3:                  2509 vpd

คำตอบ 4:                  2659 vpd

อธิบายคำตอบ:
                           
จากสมการ         Y = X(1+r)n                         

                          X = ADT = 1987 vpd
                           r = Traffic Growth Rate = 0.06
                          n = Finish Construction and Start Operation in 1998 - Traffic Data in Year 1993
                             = 1998 – 1993 = 5
                          Y = 1987(1+0.06)5 = 2659 vpd
        

ข้อ 5

ข้อที่:                         5

โจทย์:                      ข้อใดเป็นแบบขยายรอยต่อเพื่อการก่อสร้าง

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:   
                                   
คำตอบ 2:     
                                      
คำตอบ 3:                                   
                                      
คำตอบ 4:     
                                      
อธิบายคำตอบ:          

          ช่วงของรอยต่อก่อสร้าง spacing of constructionjoint or interval of construction joint ช่องว่างของรอยต่อก่อสร้างประมาณ 1 ซม. ok. แต่ระยะห่างของรอยต่อก่อสร้าง ขึ้นกับว่าคุณจะหยุดก่อสร้างที่ตำแหน่งใด โดยปกติ เราก็ให้มันเท่าๆกับรอยต่อเพื่อป้องกันการยืดหดตัว Contraction joint (ต่างกับรอยต่อก่อสร้างตรงที่ เราเทคอนกรีตต่อเนื่องไปเรื่อยๆแล้วมาตัดรอยต่อทีหลัง โดยมีเหล็กเดือยเหมือนกัน แต่ของก่อสร้างเราหยุดให้หน้าตัดเป็นแนวดิ่งตั้งฉากโดยมีเหล็กเดือยโผล่ไว้ เมื่อทำงานต่อ ก็เทคอนกรีตต่อไปเลย โดยระยะห่างของรอยต่อทั่วไปทุก 10 เมตร) ส่วนรอยต่อเพื่อการขยายตัว expansion joint นั้น ระยะห่างของรอยต่อประมาณ 150-250 เมตร ขึ้นกับว่าอุณหภูมิ ต่างกันสูงมากน้อยเพียงใด ระหว่างกลางคืนกับกลางวัน ส่วนช่องเว้นของรอยต่อก็ราว 10-15 มม.

ข้อ 6

ข้อที่:                        6

โจทย์:                      จงหาหน่วยแรงที่เกิดในถนนคอนกรีตที่จุดกึ่งกลางความยาวถนน

                                 จากแรงฝืดเมื่อถนนเป็นแผ่นคอนกรีตหนา 20 ซม. ยาว 15 เมตร
                                 สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างแผ่นคอนกรีตกับพื้นทาง
                                 เท่ากับ 1.5

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:                  2.70 กก/ตร.ซม.

คำตอบ 2:                  3.50 กก/ตร.ซม

คำตอบ 3:                  4.30 กก/ตร.ซม.
   
คำตอบ 4:                  5.40 กก/ตร.ซม

อธิบายคำตอบ:

ข้อ 7

ข้อที่:                        7

โจทย์:                     ในการจำลองโครงสร้างทางแบบยึดหยุ่น (Flexible) เป็นโครงสร้าง

                                 3 ชั้น ดังรูป Stresses / Strains ที่วิกฤตในการออกแบบ
                                 โครงสร้างทาง คือ ข้อใด

รูปภาพประกอบคำถาม:
                              

คำตอบ 1:                 Tensile stresses และ Compressive strains ที่ผิวล่างของชั้น
                                 Bituminous bound layer

คำตอบ 2:                 Tensile stresses ที่ผิวล่างของชั้น Bituminous bound layer

                                  และ Compressive strains ที่ด้านบนของชั้น Subgrade

คำตอบ 3:                 Tensile stresses และ Compressive strains ที่ด้านบนของ

                                  ชั้น Subgrade

คำตอบ 4:                 Compressive strains ที่ผิวล่างของชั้น Bituminous bound layer

                                  และ Tensile stresses ด้านบนของชั้น Subgrade

อธิบายคำตอบ:


          Mechanical properties คือ พฤติกรรมอย่างหนึ่งของวัสดุ ที่สามารถแสดงออกมาเมื่อมีแรงจากภายนอกมากระทำ โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเค้น (stress) และความเครียด(stain)
ความเค้น (Stress)

          เป็นลักษณะของแรงต้านที่อยู่ภายในวัสดุทางโครงสร้าง ที่มีความพยายามในการต้านทานต่อแรงภายนอกที่มากระทำต่อวัสดุนั้นๆ โดยพิจารณาจาก อัตราส่วนระหว่างแรงทั้งหมดที่กระทำต่อผิววัตถุต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง 
               
                                 
ชนิดของความเค้น 
-     Tensile Stress ความเค้นแรงดึงเป็นความเค้นที่เกิดจากแรงดึง(Tensile Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
-     Compressive Stress ความเค้นแรงกด หรือ ความเค้นแรงอัด เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงกด ( Compressive Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
-     Shear Stress ความเค้นแรงเฉือน เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงเฉือน (Shear Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
-     Bending Stress ความเค้นแรงดัน เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงดัน (Bendins Force)ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
-     Torsion Stress ความเค้นแรงบิด เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงบิด(Torque) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
-     ความเครียด (Stain)

          เป็นแรงที่มากระทำต่อโครงสร้าง จนโครงสร้างเกิดรับแรงนั้นไว้ไม่ไหว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างไปในทิศทางของแรงที่มากระทำ เช่น เกิดการยืดตัวออก (Elongation) หรือหดตัวเข้า(Contraction)โดยขนาดของความเครียดนี้พิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างระยะยืด/หดที่เปลี่ยนแปลงต่อความยาวเดิมของโครงสร้าง

ชนิดของความเครียด
-     Tensile Stain ความเครียดแรงดึงเป็นความเครียดที่เกิดจากแรงดึง (Tensile Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
-     Compressive Stain ความเครียดแรงกด หรือ ความเครียดแรงอัดเป็นความเครียดที่เกิดจากแรงกด (Compressive Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
-     Shear Stain ความเครียดแรงเฉือน เป็นความเครียดที่เกิดจากแรงเฉือน(Shear Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ

คุณสมบัติของวัสดุโครงสร้าง
          วัสดุที่เลือกใช้ทางโครงสร้างมีความจำเป็นที่ผู้ออกแบบต้องรู้คุณสมบัติทางโครงสร้างของวัสดุแต่ละชนิดเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสม

Elastic – Plastic behavior
          คุณสมบัติของวัสดุทางโครงสร้างซึ่งถูกแรงกระทำแล้วสามารถทำให้แรงนั้นหายไปอย่างรวดเร็วเรียกว่า elastic behavior เหมือนการดึงยาง เมื่อไม่มีแรงกระทำก็คืนสู่สภาพเดิม
          วัสดุทางโครงสร้างทุกชนิดถึงแม้ว่าจะมีความยืดหยุ่นสูงแต่ก็มีขอบเขต วัสดุที่ถูกแรงกระทำเกินขีดจำกัดจะเกิดการเสียรูปไป โดยคุณสมบัติของวัสดุทางโครงสร้างที่เสียรูปไปนี้ เรียกว่าplastic behavior เหมือนกับการดึงยางจนยึดและให้คืนสู่สภาพเดิม


                       
                         

          ลักษณะของวัสดุที่ทนแรง elastic behavior จนถึงขีดสุด เรียกจุดที่วัสดุเปลี่ยนจากสถานภาพจาก elastic นี้ว่าจุดคราก (yield point) และเมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนรูปที่เรียกว่า plastic behavior

          สมบัติทางโครงสร้างที่ได้จากการทดสอบแรงดึงของวัสดุ มีดังนี้
1. โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก (Modulus of elasticity)
2. ความเค้นและความเครียด ณ จุดคราก (Stress and strain at yield)
3. ความต้านทานแรงดึงสูงสุด (Ultimate tensile stress)
4. เปอร์เซ็นต์การยืดตัว (Percent elongation)

Modulus of elasticity
          โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก : เป็นค่าความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุ เมื่อได้รับแรงกระทำ สามารถพิจารณาได้จากความชันของกราฟระหว่างความเค้น (stress) และความเครียด (strain) ของวัสดุในระยะแรก ที่ยังแสดงคุณสมบัติยืดหยุ่น (elastic) อยู่
เมื่อออกแรงดึงเส้นวัสดุโดยไม่ให้ขนาดของแรงดึงเกินขีดจำกัดการแปรผันตรงของวัสดุ ความเค้นจะแปรผันตรงกับความเครียด นั่นคืออัตราส่วนระหว่างความเค้นและความเครียดของวัสดุชนิดหนึ่งๆ จะมีค่าคงตัว เรียกค่าคงที่นี้ว่ามอดูลัสของยัง (Young’s modulus) แทนด้วยสัญลักษณ์ Y

Stress and strain at yield
          ความเค้นและความเครียด ณ จุดคราก : เป็นค่าความเค้นและความเครียดของวัสดุ ณ จุดที่เปลี่ยน คุณสมบัติจากอิลาสติก (elastic) ไปเป็นพลาสติก (plastic) หรืออีกนัยหนึ่ง วัสดุนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างถาวรเมื่อความเค้นหรือความเครียดมีค่ามากกว่านี้

Ultimate tensile strength
          ความต้านทานแรงดึงดูด : คือความแข็งแรงสูงสุดของวัสดุ

Percent elongation (%)
          เปอร์เซ็นต์การยืดตัว : เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุทางโครงสร้างตัวอย่างภายใต้แรงดึงเมื่อเทียบกับระยะการวัด (gage length) ของวัสดุทดสอบ และยังเป็นค่าที่ใช้บอกถึงความอ่อน (ductile) ของวัสดุ โดยทั่วไปโลหะยิ่งอ่อนยิ่งมีค่าเปอร์เซ็นต์ความยืดมากแสดงว่าโลหะนั้นเปลี่ยนรูปมาก

Material constants and safety factor
         การเลือกใช้วัสดุทางโครงสร้างต่างชนิดกันก็มีการเสียรูปเมื่อมีแรงมากระทำที่ไม่เหมือนกัน เช่น ลวดเหล็กยาว 5 เมตร เมื่อรับน้ำหนัก 1000 กิโลกรัม ลวดจะมีความยาวเพิ่ม 2/3 เซนติเมตร ลวดอลูมิเนียมมีความยาวและน้ำหนักเท่ากันจะมีความยาวเพิ่ม 2 เซนติเมตร แล้วแต่คุณสมบัติของวัสดุนั้นๆ

เหตุนี้ทำให้เราต้องรู้ถึงโครงสร้างและคุณสมบัติของวัสดุอย่างถูกต้อง

ข้อ 8

ข้อที่:                        8

โจทย์:                     ในช่องจราจรออกแบบของทางหลวงสายหนึ่ง รถบรรทุกที่ 1 คัน

                                 เทียบเท่ากับเพลามาตรฐานวิ่ง1.15 ครั้ง ในปีแรกมีรถบรรทุกผ่าน
                                100 คันต่อวัน และรถบรรทุกมีอัตราการเพิ่มร้อยละ 4 ต่อปี
                                ถ้าอายุออกแบบ (Design life) = 5 ปี น้ำหนักจราจรที่ใช้ออกแบบ
                                โครงสร้างทางจะเท่ากับเท่าใด

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:                 2.2 x 105 เที่ยว

คำตอบ 2:                4.9 x 104 เที่ยว

คำตอบ 3:                2.09 x 105 เที่ยว

คำตอบ 4:                2.45x 104 เที่ยว

อธิบายคำตอบ:

การวิเคราะห์ด้านจราจร     กำหนดให้น้ำหนักเพลามาตรฐาน 18,000 ปอนด์ ยวดยานที่มาใช้ถนนให้เปลี่ยนเป็น Equivalent 18,000-lb Single Axle Load(EAL)โดยทำเป็นขั้นตอน ดังนี้
1. คำนวณหาจำนวนปริมาณการจราจรของยวดยานประเภทต่างๆ(T) เช่น รถยนต์นั่ง รถบรรทุก รถโดยสาร ที่จะมาแล่นบนถนนในช่วงอายุการใช้งาน

          T = { (1+r)n-1 )}Ti           
                           r

กำหนดให้ Ti = ปริมาณการจราจรในปีแรกที่เปิดใช้ถนน
                     r = อัตราเพิ่มของการจราจร
                    n = จำนวนปีที่กำหนดใช้งาน
          (1+r)n-1 = Growth Factor
                r

2. คำนวณหาเปอร์เซ็นต์รถบรรทุกที่คาดว่าจะมาใช้ถนนใน Design lane ซึ่งอาจได้จากการเก็บข้อมูลในสนาม หรือประมาณได้จากตารางที่ 1

                          
    ตารางที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของรถบรรทุกใน Design Lane
จำนวนช่องจราจร
เปอร์เซ็นต์รถบรรทุกใน
Design  Lane
2
4
                6
50
45(หรือ 35- 48)
40 (หรือ 25-48)


3. คำนวณหา Truck Factor หรือหาค่าเฉลี่ยเทียบเท่าเพลาเดี่ยวมาตรฐาน 18,000 ปอนด์ ของยานพาหนะชนิดต่างๆซึ่งค่า Truck Factor นี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุกของยานพาหนะ

Truck Factor (TF)  =  (No.of Axle x Load Equivalency Factor) 
                                                              No.of vehicles                                                  
     ซึ่ง TF ประเทศไทย ยังจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์หาข้อมูลให้มากกว่านี้ ค่า TF สำหรับรถบรรทุก 10 ล้อ (3เพลา)ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยควรอยู่ระหว่าง 2.0-2.6 โดยการเลือกใช้ค่าให้ยึดหลักดังนี้
     ก.ถนนนอกเมือง ถนนประเภท Through Traffic ใช้ค่า 2.0
     ข.ถนนรอบเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานครที่มีการจราจรคับคั่ง และหรือถนนที่มีการจราจรสูงควรใช้ค่า 2.3-2.6 ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ออกแบบ

4. EAL ออกแบบ = (จำนวน X Truck Factor X Growth Factor )

5. ค่า EAL ออกแบบอาจจะคำนวณได้จาก DTN ในช่วง 20 ปี ซึ่งอ่านค่ามาจาก nomograph ตามวิธี Asphalt Institute (1970)

          EAL ออกแบบ = DTN X 7300

จากโจทย์ ในช่องจราจรออกแบบของทางหลวงสายหนึ่ง รถบรรทุกที่ 1 คันเทียบเท่ากับเพลามาตรฐานวิ่ง1.15 ครั้ง ในปีแรกมีรถบรรทุกผ่าน 100 คันต่อวัน และรถบรรทุกมีอัตราการเพิ่มร้อยละ 4 ต่อปี ถ้าอายุออกแบบ (Design life) = 5 ปี น้ำหนักจราจรที่ใช้ออกแบบโครงสร้างทางจะเท่ากับเท่าใด

วิธีทำ ในปีแรกมีรถบรรทุกผ่าน 360X100 = 36,000 คันต่อปี

EAL (จำนวน X TF)   =   36,000X1.15   =   41,400

ดังนั้น EAL ใช้ออกแบบ   =   {(1+0.04)5-1}41,400 

                                                          0.04
                                         = 224,235 เที่ยว
                                         = 2.2X105 
เที่ยว
คำตอบ น้ำหนักจราจรที่ใช้ออกแบบโครงสร้างทางเท่ากับ 2.2X105  เที่ยว

ข้อ 9

ข้อที่:                        9

โจทย์:                      การที่แผ่นพื้นคอนกรีตรับความร้อนในตอนกลางวันและ
การคาย
                                 ความร้อนในตอนกลางคืน มีผลให้อุณหภูมิภายในผืนคอนกรีต
                                ไม่เท่ากัน (มี Temperature gradient) จึงทำให้แผ่นพื้นคอนกรีต
                                โก่ง (Curl or Warp) ตอนกลางวัน แผ่นพื้นคอนกรีตโก่งลง
                                ทำให้เกิดหน่วยแรงดึง (Tensile stresses) เนื่องจาก
                                Temperature gradient ขึ้น ณ ที่ใดในแผ่นพื้นและกระจาย
                                อย่างไร

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:                  เกิดสม่ำเสมอตลอดผิวล่างของแผ่นพื้น

คำตอบ 2:                  เกิดที่ผิวล่างของแผ่นพื้น และมีค่ามากสุดที่กลางผืน

คำตอบ 3:                  เกิดสม่ำเสมอตลอดผิวบนของแผ่นพื้น

คำตอบ 4:                  เกิดที่ผิวบนของแผ่นพื้น และมากที่สุดที่กลางผืน

อธิบายคำตอบ: 


          การเกิดการโก่งงอของพื้นคอนกรีต (Curling of Concrete Slabs)
การโก่งงอของพื้นคอนกรีตเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแผ่นพื้นคอนกรีตที่เทบนพื้น ไม่ว่าจะเป็นการเทคอนกรีตใหม่บนดินหรือเทคอนกรีตใหม่ทับพื้นเดิม โดยจะส่งผลทำให้ปลายหรือส่วนกลางของแผ่นพื้น โก่งขึ้น สาเหตุเนื่องมาจากการที่แผ่นพื้นคอนกรีตมีความชื้นและอุณหภูมิที่แตกต่างกันมาก ระหว่างผิวหน้าด้านบนและด้านล่างคอนกรีต การโก่งงอนี้อาจจะเกิดการยกตัวขึ้นจากพื้นที่รองรับบริเวณปลายแผ่นหรือบริเวณกลางแผ่นก็ได้ ซึ่งจะส่งผลให้พื้นคอนกรีตบริเวณช่องว่างนั้นเกิดการแตกร้าวเมื่อต้องรับน้ำหนักบรรทุกในสภาวะดังกล่าว โดยทั่วไปการเกิดการโก่งงอจะพบเห็นได้หลังเทคอนกรีตได้ไม่นานอย่างไรก็ตาม บางกรณีอาจเกิดขึ้นในภายหลังจากการใช้งานไปซักระยะก็เป็นไปได้

 
                                    
สาเหตุของการเกิดการโก่งงอของพื้นคอนกรีต
          การเกิดการโก่งงอของพื้นคอนกรีตนี้ มีสาเหตุมาจากการหดตัวของคอนกรีตที่ไม่เท่ากัน (Differential Drying Shrinkage) ระหว่างผิวบนและผิวล่างของพื้นคอนกรีต ซึ่งขึ้นอยู่กับความชื้นและความแตกต่างของอุณหภูมิในแผ่นพื้นเป็นหลัก การโก่งงอนี้สามารถสังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัดจากบริเวณด้านข้างและตรงบริเวณมุมของแผ่นพื้น โดยที่ความรุนแรงในการโก่งงอของคอนกรีตจะมีความสัมพันธ์กับการหดตัวแบบแห้ง (Drying Shrinkage) นั่นคือหากคอนกรีตเกิดการหดตัวแบบแห้งมากขึ้นเท่าใด การโก่งงอก็มีแนวโน้มมากขึ้นตามไปด้วย

          กรณีส่วนใหญ่การเกิดการโก่งงอจะเกิดขึ้นเมื่อผิวหน้าคอนกรีตแห้งและหดตัวมากกว่าด้านล่าง จะทำให้เกิดการโก่งบริเวณปลายของแผ่นพื้นโดยจะงอขึ้นด้านบน ( ดังรูป A ) โดยอาจเกิดขึ้นภายหลังจากการเทคอนกรีต ส่วนใหญ่มักพบในกรณีที่ไม่มีการบ่มคอนกรีตที่ดีเพียงพอ ปล่อยให้ผิวหน้าคอนกรีตสูญเสียความชื้นเร็วเกินไป มีการเยิ้มบริเวณผิวหน้าคอนกรีตมากจนเกินไปเนื่องจากในส่วนผสมใช้น้ำมาก หรือมีการสลัดน้ำจนมากเกินไป เพื่อให้ง่ายในการแต่งผิวหน้าคอนกรีต ซึ่งการบ่มคอนกรีตที่ไม่ถูกต้องและเพียงพอนั้นเป็นสาเหตุของการเกิดการหดตัวแบบแห้ง (Drying Shrinkage) บริเวณผิวหน้าคอนกรีต 


                      

          สาเหตุของการเกิดการเยิ้มที่มากเกินบางครั้งอาจเกิดจากการเทคอนกรีตบนแผ่นกันความชื้นประเภทพลาสติก (Polyethylene Sheet) หรือการเทคอนกรีตทับหน้าคอนกรีตเก่า สำหรับกรณีนี้ถ้าพื้นดินที่รองรับมีลักษณะเป็นดินที่มีความอุ้มน้ำสูง การหดตัวของผิวคอนกรีตด้านบนก็จะยิ่งแตกต่างกับด้านล่างมาก สำหรับสาเหตุอีกประการก็คือ อุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างผิวด้านบนกับด้านล่างของคอนกรีต โดยเกิดจากความร้อนจากการที่ผิวหน้าของคอนกรีตสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง แต่พื้นดินที่รองรับตรงบริเวณนั้นมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่ามาก สภาพเช่นนี้ก็จะทำให้พื้นคอนกรีตเกิดการโก่งแบบคว่ำ ( ดังรูป B ) ในบางกรณีอุณหภูมิที่หนาวเย็นในช่วงเวลากลางคืน อาจทำให้พื้นคอนกรีตมีอุณหภูมิลดต่ำลง ขณะที่ผิวด้านล่างของแผ่นพื้นคอนกรีตกลับต้องสัมผัสกับพื้นดินที่รองรับที่มีอุณหภูมิอบอุ่นกว่า ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมินี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการโก่งงอแบบยกตัวบริเวณส่วนปลายของแผ่นพื้นได้

วิธีการป้องกันการเกิดการโก่งงอบริเวณปลายพื้นคอนกรีต
          สาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดของแผ่นพื้นซึ่งส่งผลให้เกิดการโก่งงอบริเวณปลายแผ่นพื้น ได้แก่ การเกิดการหดตัวแบบแห้ง (Drying Shrinkage) วิธีการทำงาน ความชื้นหรือน้ำใต้ดินของชั้นดินที่รองรับ และความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืน ส่วนวิธีการต่อไปนี้คือวิธีที่จะช่วยทำให้เกิดการโก่งงอบริเวณปลายแผ่นพื้นลดลงได้
-     ใช้ปริมาณน้ำในส่วนผสมคอนกรีตให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
-     มวลรวมที่ใช้ควรเลือกใช้ที่มีขนาดโตสุดเท่าที่เป็นไปได้ และ/หรือออกแบบให้คอนกรีตมีปริมาณมวลรวมให้มากที่สุดเพื่อลดปัญหาการเกิดการหดตัวแบบแห้ง (Drying Shrinkage) ในคอนกรีต
-     ระมัดระวังไม่ให้คอนกรีตเกิดการเยิ้มมากจนเกินไป
-     หลีกเลี่ยงส่วนผสมคอนกรีตที่ใช้ปริมาณปูนซีเมนต์มากจนเกินไป ถ้าจำเป็นอาจเลือกใช้วัสดุประเภทปอซโซลานทดแทน
-     ควรบ่มคอนกรีตอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะรอยต่อและบริเวณปลายแผ่นพื้น ในกรณีที่ใช้สารเคมีบ่มคอนกรีต (Curing Compound) อาจฉีดพ่นซ้ำบริเวณมุมและขอบของแผ่นพื้นซ้ำอีกครั้ง
-     ในกรณีที่ต้องการให้เกิดการโก่งงอน้อยที่สุด ระยะในการทำรอยต่อคอนกรีตไม่ควรเกิน 24 เท่าของความหนาของแผ่นพื้น
-     ในกรณีเทคอนกรีตทับหน้าที่มีความหนาน้อยๆ อาจเพิ่มการยึดเกาะและเชื่อมประสานระหว่างคอนกรีตเก่ากับคอนกรีตใหม่บริเวณมุมแผ่นพื้น ด้วยการทำความสะอาดให้เรียบร้อยและใช้ตะปูคอนกรีตตอกให้ทั่วบริเวณแล้วจึงใช้ลวดพันสลับไปมาระหว่างตะปูให้รอบ
-     เลือกใช้ความหนาของพื้นให้มากขึ้นกว่าเดิม หรือเพิ่มความหนาเฉพาะบริเวณปลายแผ่นพื้น
-     ควรออกแบบเสริมเหล็กอย่างเหมาะสม การใส่อุปกรณ์ถ่ายแรง (Load Transfer) บริเวณรอยต่อก่อสร้าง (Construction Joint) จะช่วยลดการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งระหว่างแผ่นพื้นได้  

                       
          ในกรณีที่ไม่สามารถยอมให้เกิดการโก่งงอบริเวณปลายแผ่นพื้นเลย อาจทำได้โดยการใช้สารเคมีลดการหดตัวในคอนกรีต, การใช้คอนกรีตที่ออกแบบใช้มีการชดเชยการหดตัว, การใช้พื้นคอนกรีตอัดแรง หรือการใช้สุญญากาศดูดเอาน้ำส่วนเกินในคอนกรีตออกไป ซึ่งวิธีการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูง
          สำหรับวิธีการซ่อมแซมการโก่งงอบริเวณปลายแผ่นพื้นอาจทำได้โดยการทำรอยต่อ (Contraction Joint) ด้วยวิธีการใช้เลื่อยตัด (Saw cut) เพิ่มเติม จากนั้นขัดพื้นบริเวณที่โก่งขึ้นมาให้เรียบเสมอกันแล้วจึงทำการอุดช่องว่างด้วยซีเมนต์เพสต์ หรือ Epoxy บริเวณช่องว่างใต้แผ่นพื้นให้เต็ม

          พื้นที่ยิ่งบางก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดการโก่งงอของพื้น หากหลีกเลี่ยงการเทพื้นแบบบางไม่ได้ ควรเพิ่มการยึดรั้งระหว่างพื้นที่เทใหม่กับพื้นที่รอง ด้วยการทำความสะอาดพื้นที่รองเดิมเสียก่อนและเพิ่มความขรุขระให้กับพื้นที่รองเดิมถ้าทำได้ รวมถึงการทำรอยต่อให้ถี่ขึ้น วิธีการเหล่านี้จะสามารถลดการเสี่ยงต่อการโก่งงอของพื้นได้เป็นอย่างดี

 http://www.youtube.com/watch?v=MFzyMtjA2gs&feature=mfu_in_order&list=UL

ข้อ 10

ข้อที่:                        10

โจทย์:                      การที่แผ่นพื้นคอนกรีตรับความร้อนในตอนกลางวันและ
การคาย
                                 ความร้อนในตอนกลางคืน มีผลให้อุณหภูมิภายในผืนคอนกรีต
                                 ไม่เท่ากัน (มี Temperature gradient) จึงทำให้แผ่นพื้นคอนกรีต
                                 โก่ง (Curl or warp) ตอนกลางคืน แผ่นพื้นคอนกรีตโก่งขึ้น ทำให้
                                 เกิดหน่วยแรงดึง(Tensile stresses) เนื่องจาก Temperature
                                 gradient ขึ้น ณ ที่ใดในแผ่นพื้นและกระจายอย่างไร

รูปภาพประกอบคำถาม:

คำตอบ 1:                 เกิดสม่ำเสมอตลอดผิวล่างของแผ่นพื้น

คำตอบ 2:                 เกิดที่ผิวล่างของแผ่นพื้น และมีค่ามากสุดที่กลางผืน

คำตอบ 3:                 เกิดสม่ำเสมอตลอดผิวบนของแผ่นพื้น

คำตอบ 4:                 เกิดที่ผิวบนของแผ่นพื้น และมากที่สุดที่กลางผืน

อธิบายคำตอบ:      คำถามเหมือนข้อ 9 ดังนั้น คำตอบจึงเหมือนกัน

ข้อ 11

ข้อที่:                         11

โจทย์:                      เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของแผ่นพื้นคอนกรีตลดลงและต้องการจะหดตัว
                                 แต่เนื่องจากมีดิน Subgrade เหนี่ยวรั้งไว้ การเหนี่ยวรั้งของ
                                 Subgrade ในกรณีนี้จะทำให้เกิด Stresses ประเภทใด

รูปภาพประกอบคำถาม:

คำตอบ 1:                  Tensile Stresses ในแผ่นพื้น

คำตอบ 2:                  Compressive Stresses ในแผ่นพื้น

คำตอบ 3:                  Flexible Stresses ในแผ่นพื้น

คำตอบ 4:                  Bending Stresses ในแผ่นพื้น

อธิบายคำตอบ:      

          การแตกร้าวของถนนนั้นมักจะ เกิดขึ้นขณะที่คอนกรีตกำลังแข็งตัว หรือเป็นที่รู้จักกันในเชิงวิชาการคอนกรีตว่า การแตกร้าวเนื่องจากการหดตัวแบบพลาสติก (Plastic Shrinkage Cracking) ซึ่งนอกจากมีโอกาสสูงที่จะเกิดกับงานถนนแล้ว ยังเกิดกับงานประเภทพื้นที่อยู่กลางแจ้งอื่นได้อีกด้วย อาทิ พื้นอาคาร, ดาดฟ้า และลานประเภทต่างๆ เป็นต้น การแตกร้าวในลักษณะนี้จะไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ต่างกับการแตกร้าวเนื่องจากคอนกรีตหดตัวแบบแห้งซึ่งจะเป็นเส้นค่อนข้างตรง และยาวที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีการตัดรอยต่อที่ถูกต้อง
          สาเหตุของการแตกร้าวเนื่องจากการหดตัวแบบพลาสติก
การ ที่คอนกรีตเกิดการแตกร้าวแบบนี้ มีสาเหตุมาจากคอนกรีตหดตัวอย่างเฉียบพลันในช่วงที่ยังอยู่ในสภาพยังไม่แข็ง ตัว (Pre-hardened Stage) ซึ่งคอนกรีตในช่วงนี้แทบจะไม่มีความสามารถในการรับแรงเค้นที่เกิดจากแรงดึง (Tensile Stress) ซึ่งแรงเค้นเกิดขึ้นขณะที่คอนกรีตมีการหดตัว เมื่อแรงเค้นนี้เกิดมากเกินกว่าที่คอนกรีตสามารถรับได้ ก็จะเกิดการแตกร้าว ดังที่แสดงไว้ในรูปที่ 1
                           รูปที่ 1 - รอยแตกร้าวเนื่องจากการหดตัวแบบพลาสติก

          ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้คอนกรีตเกิดการแตกร้าวแบบนี้มีอยู่ด้วยกันมากมาย แต่จะสรุปเป็นข้อได้ 6 ปัจจัยหลักดังนี้
     1. อุณหภูมิอากาศ – เมื่อเข้าฤดูร้อนอุณหภูมิอากาศเริ่มสูงขึ้น ส่งผลให้คอนกรีตมีการสูญเสียน้ำที่ผิวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้คอนกรีตที่ผิวหน้ามีการหดตัวอย่างเฉียบพลัน จึงเสี่ยงกับการแตกร้าว
     2. น้ำยาผสมคอนกรีต – การใช้น้ำยาหน่วงที่มากเกินความจำเป็นจะทำให้ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นชะลอตัวลง มากเกินไป ซึ่งส่งผลให้คอนกรีตพัฒนากำลังดึง (Tensile Strength Development) ได้ไม่ทันกับการหดตัวของคอนกรีตที่ผิวหน้า
     3. ความชื้นสัมพัทธ์ – การมีความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยที่สูงในประเทศไทยช่วยให้คอนกรีตสูญเสียน้ำให้ กับสิ่งแวดล้อมช้าลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่คอนกรีตจะเกิดการแตกร้าว แต่ในช่วงฤดูหนาวอากาศจะมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า จึงทำให้คอนกรีตอาจสูญเสียน้ำให้กับสิ่งแวดล้อมเร็วขึ้น จึงเสี่ยงกับการแตกร้าวได้ง่าย
     4. ลม – ลมเป็นปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากอุณหภูมิของอากาศและความชื้นสัมพัทธ์ที่กล่าวมา สำหรับลมซึ่งมีความเร็วกว่า 8 กม./ชม. จะส่งผลกระทบกับการสูญเสียน้ำที่ผิวหน้าคอนกรีตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับอุณหภูมิอากาศที่ร้อนจัดหรือความชื้นสัมพัทธ์ ที่ต่ำ
     5. ปริมาณปูนซีเมนต์ – ปริมาณของปูนซีเมนต์ในส่วนผสมที่มีมากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อการแตกร้าวของคอนกรีตได้สองลักษณะ โดยในลักษณะแรกจะทำให้คอนกรีตมีความร้อนสูงจากปฏิกิริยาไฮเดรชั่น ซึ่งเป็นผลให้น้ำที่อยู่ในคอนกรีตระเหยไปอย่างรวดเร็ว ในลักษณะที่สองอนุภาคของปูนซีเมนต์ซึ่งมีขนาดเล็กมาก สามารถสร้างความทึบน้ำของคอนกรีตได้ค่อนข้างดี จะส่งผลให้น้ำที่อยู่ในส่วนข้างล่างของพื้นถนนขึ้นมาชดเชยน้ำที่เสียไปจาก ผิวหน้าได้ช้าจนอาจไม่ทันการณ์ หรืออัตราการระเหยของน้ำมากกว่าอัตราการชดเชย
     6. ปริมาณน้ำ – ปริมาณน้ำในคอนกรีตเป็นตัวแปรที่สำคัญกับกำลังอัดและการหดตัวของคอนกรีต เมื่อปริมาณน้ำในส่วนผสมมีมากเกินไปก็จะส่งผลให้คอนกรีตมีกำลังอัดลดลง และยังทำให้คอนกรีตมีการหดตัวแบบแห้ง (Drying Shrinkage) สูงขึ้นด้วย ในทางกลับกันหากปริมาณน้ำในส่วนผสมมีน้อยจนเกินไป ก็ทำให้คอนกรีตมีน้ำไม่เพียงพอที่จะขึ้นมาชดเชยน้ำที่เสียไปจากผิวหน้า
     7. ปริมาณเถ้าลอย – การใช้เถ้าลอยเป็นส่วนผสมในคอนกรีตมีผลดีมากกว่าผลเสียหากเถ้าลอยที่ใช้มี คุณภาพดี ซึ่งทำให้การพัฒนากำลังอัดหลัง 50 วันเพิ่มขึ้น ทำให้คอนกรีตทึบน้ำขึ้น และยังทำให้ความทนทานต่อซัลเฟตกับคลอไรด์เพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อใช้ในปริมาณที่สูงจะทำให้หน่วงการก่อตัวของคอนกรีต ซึ่งเป็นเหตุให้ระยะเวลาของการพัฒนากำลังอัดในช่วงแรกยาวขึ้น กำลังอัดในระยะแรกต่ำลง และความทนทานต่อการขัดสีลดลง หากต้องการใช้เถ้าลอยในงานถนน ควรทำการบ่มคอนกรีตให้ถูกวิธีเพื่อช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำ โดยเฉพาะในระยะเวลาที่คอนกรีตยังไม่ก่อตัว
          การป้องกันการแตกร้าวแบบ Plastic Shrinkage
การป้องกันปัญหาการแตกร้าวอาจแยกความรับผิดชอบได้เป็นสองส่วน ในส่วนของผู้ผลิตสามารถทำได้หลายแนวทาง ดั้งนี้
          แนวทางแรกคือการกำหนดมาตรฐานการผลิตคอนกรีตสำหรับเทงานพื้นกลางแจ้งที่คอนกรีต มีโอกาสสูญเสียน้ำที่ผิวหน้าในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว โดยใช้ปริมาณน้ำในการผสมที่พอเหมาะ คือมีอัตราส่วนของน้ำต่อวัสดุประสานโดยน้ำหนักที่อยู่ระหว่าง 0.38 ถึง 0.45 และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาผสมคอนกรีตที่มีคุณสมบัติในการหน่วงการเกิดปฏิกิริยาไฮเดรชัน (น้ำยาผสม Type D) และหากเป็นไปได้ไม่ควรใช้น้ำยาผสม Type Gเพราะออกแบบปริมาณการใช้ให้เหมาะกับงานได้ยาก แต่หากมีความจำเป็นต้องรักษาความสามารถในการเทได้ ต้องออกแบบคอนกรีตให้มีระยะเวลาการก่อตัวที่ไม่ยาวเกินไป โดยพิจารณาการสูญเสียค่ายุบตัวคอนกรีตให้สอดคล้องกับอัตราการเทคอนกรีต
          แนวทางที่สองคือการวางแผนการจัดส่งคอนกรีตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการลดเวลาในการจัดส่งให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการขออนุญาตตั้งโรงงานผสมชั่วคราวภายในบริเวณโครงการก่อสร้าง หรือใกล้ที่หน้างาน หรือการขอความอนุเคราะห์จากลูกค้าให้ปรับปรุงเส้นทางสัญจรเพื่ออำนวยความ สะดวกแก่รถโม่ ซึ่งเป็นการลดเวลาที่ใช้ในการเดินทาง
แนวทางที่สามคือ ส่วนผสมที่ใช้ต้องเชื่อมั่นได้ว่าใช้ปูนซีเมนต์ในปริมาณที่น้อยที่สุด แต่ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนด และสามารถทำงานได้ดีในขณะเท
แนว ทางที่สี่คือการหลีกเลี่ยงการใช้ทรายที่มีความละเอียดมาก ซึ่งทรายที่ละเอียดมากจะไปขัดขวางช่องทางเดินของน้ำ ทำให้น้ำที่อยู่ส่วนล่างของพื้นขึ้นมาชดเชยน้ำที่สูญเสียไปจากผิวหน้าได้ยาก ขึ้น
แนวทางที่ห้าคือการนำวัสดุหรือสารผสมเพิ่มเข้ามาช่วยโดยเฉพาะวัน ที่มีอากาศร้อนจัดมาก แต่วัสดุหรือสารผสมเพิ่มเหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับส่วนผสมตัว หลัก อาทิ การใช้ Polypropylene Fiber เพื่อเพิ่ม Tensile Strength ให้กับคอนกรีต โดยใช้ในอัตราส่วนร้อยละ 0.1 โดยน้ำหนักของปูนซีเมนต์ หรือการใช้ Methylcellulose เพื่อเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของคอนกรีต โดยใช้ในอัตราส่วนร้อยละ 0.02 โดยน้ำหนักของปูนซีเมนต์
          ในส่วนของผู้บริโภคสามารถทำได้หลายแนวทาง ดั้งนี้
แนวทางแรกคือการวางแผนงานให้มีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างสูงสุด และใช้เครื่องมือเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอกับปริมาณและอัตรา การเทของคอนกรีตที่สั่ง รวมถึงการจ้างแรงงานที่มีความชำนาญในจำนวนที่พอเพียง เพื่อให้การเทคอนกรีตเป็นไปอย่างรวดเร็วและคอนกรีตยังคงอยู่ในสภาพสด
          แนวทางที่สองคือการเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับรถโม่ที่จัดส่งคอนกรีต เพื่อให้รถใช้เวลาในการรับส่งน้อยที่สุด หากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความต้องการคอนกรีตในปริมาณที่สูงและภายใน โครงการมีเนื้อที่ว่างพอ ควรพิจารณาอนุญาตให้บริษัทฯสามารถติดตั้งโรงงานผสมคอนกรีตภายในบริเวณ โครงการเป็นการชั่วคราว
          แนวทางที่สามคือการควบคุมการทำงานให้เป็นไปตาม มาตรฐานและข้อกำหนด เช่นอาจมีการใช้น้ำยาบ่มฉีดที่ผิวหน้าหากคอนกรีตอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่ รุนแรงนัก แต่หากคอนกรีตอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่รุนแรง เช่นลมที่พัดด้วยความเร็วเกิน 8 กม./ชม. การใช้น้ำยาบ่มอาจเป็นมาตราการป้องกันที่ไม่พอเพียง ควรใช้แผ่นพลาสติกคลุมปิดผิวคอนกรีตทันทีหลังการปาดหน้า หากไม่สามารถหาแผ่นพลาสติกได้ อาจใช้กระสอบป่านชื้นคลุมแทน เช่นที่แสดงไว้ในรูปที่ 2

                                      
                                           รูปที่ 2 – การบ่มคอนกรีตโดยกระสอบป่าน

          แนวทางที่สี่คือการวางแผนงานให้ลดความรุนแรงที่มีผลกระทบมาจากสิ่งแวดล้อมได้ มากที่สุด ในกรณีของโครงการนี้ อาจมีการศึกษาพฤติกรรมของลมว่าพัดจากทิศใด ช่วงเวลาใดจะสงบที่สุดและอุณหภูมิอากาศที่ไม่สูงมาก และวางแผนการเทให้สอดคล้องกับช่วงเวลานั้น
แนวทางที่ห้า ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด ในขณะเดียวกันอาจมีความเป็นไปได้น้อยที่สุด คือการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ ออกแบบส่วนผสมที่เหมาะสมกับการใช้งานของโครงการ โดยมีข้อกำหนดแค่คุณสมบัติหรือความสามารถ (Performance-based Specification) ของคอนกรีต
          ข้อสรุป     การแตกร้าวของถนนหรือพื้นคอนกรีตนั้น เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก แต่ก็ควรมีการร่วมมือกันทั้งผู้ผลิตคอนกรีตและผู้บริโภค และเมื่อมีการแตกร้าวเกิดขึ้นก็มิได้หมายความว่าโครงสร้างนั้นจะไม่ทนทานตาม ที่ผู้ออกแบบได้กำหนดเอาไว้ ส่วนใหญ่การแตกร้าวแบบนี้เป็นการแตกร้าวโดยผิวเผิน หรือ Cosmetic ซึ่งไม่มีความจำเป็น

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ข้อ 12

ข้อที่:                        12

โจทย์:                      ในการออกแบบถนนคอนกรีต เราพิจารณาออกแบบรองรับ

                                 Stresses เนื่องจากอุณหภูมิอย่างไร

รูปภาพประกอบคำถาม:


คำตอบ 1:                 ออกแบบแผ่นพื้นให้หนาเพียงพอที่จะรับ Stresses นี้ได้

คำตอบ 2:                 ใส่เหล็กเสริมรับหน่วยแรงดัดเพิ่มขึ้น

คำตอบ 3:                 ตัดซอยคอนกรีตเป็นผืนเล็กเพื่อลด Stresses ให้เหลือน้อย

คำตอบ 4:                 ปรับอุณหภูมิแผ่นพื้นให้คงที่มากที่สุด

อธิบายคำตอบ:    

    
หลักการทํางานของถนนคอนกรีต
          ถนนคอนกรีตจัดเป็นถนนประเภททางผิวแข็ง(Rigid pavement) เนื่องจากโครงสร้างผิวทางคอนกรีตมีค่าโมดูลัสความยืดหยุ่น(Modulus of Elasticity) สูง ส่งผลให้มีการแอ่นตัวน้อยมากเมื่อมีน้ำหนักกระทําบนผิวทาง โครงสร้างถนนคอนกรีตประกอบด้วย ชั้นผิวทางคอนกรีตวางอยู่บนชั้นดินเดิม (Subgrade) ผิวคอนกรีตจะรับน้ำหนักเป็นส่วนของโครงสร้างเช่นเดียวกับแผ่นพื้น(Plate) เนื่องจากความแข็งแกร่งของผิวทางคอนกรีต ทําให้โครงสร้างทางสามารถกระจายน้ำหนักจากล้อยานพาหนะลงสู่ดินคันทางเป็นเนื้อที่กว้างมีผลให้หน่วยแรง (Stress) ที่เกิดขึ้นในดินคันทางมีค่าต่ำ ในกรณีที่อาจมีปัญหาเรื่องน้ำท่วม การระบายน้ำหรือดินคันทางมีคุณภาพไม่ดีพอ อาจเพิ่มชั้นพื้นทางและชั้นรองพื้นทางได้ ลักษณะเฉพาะของถนนคอนกรีตที่สําคัญคือจะมีรอยต่อ(Joint)ระหว่างแผ่นคอนกรีตทั้งตามขวางและตามยาวของถนนเพื่อช่วยให้แผ่นคอนกรีตสามารถหดและขยายตัวได้

หน่วยแรงที่เกิดในถนนคอนกรีต
          แผ่นคอนกรีตที่ใช้เป็นผิวทางมีความหนาไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับชั้นดินที่รองรับ แต่มีค่าโมดูลัสความยืดหยุ่นสูงมาก ดังนั้นการรับน้ำหนักของล้อยานพาหนะจึงมาจากตัวแผ่นคอนกรีตเกือบทั้งหมด การคํานวณหาหน่วยแรงที่เกิดขึ้นในโครงสร้างทางคอนกรีต จึงเน้นพิจารณาในตัวแผ่นคอนกรีต ปัจจัยสําคัญที่ทําให้เกิดหน่วยแรงในตัวแผ่นคอนกรีต ได้แก่น้ำหนักจากล้อยานพาหนะ, การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ, แรงฝัดระหว่างคอนกรีตกับผิวดิน, แรงเกิดในร่องรอยต่อ ค่าหน่วยแรงต่างๆที่เกิดขึ้นในแผ่นคอนกรีต จากปัจจัยต่างๆส่วนใหญ่แล้วจะต้องนํามารวมกัน ผลรวมที่ได้จะต้องไม่มากเกินกว่าหน่วยแรงที่ผิวทางคอนกรีตจะรับได้