ข้อที่: 1
โจทย์: จงหาจำนวนรถบรรทุกที่ใช้ในการออกแบบโครงสร้างทาง
ตลอดอายุการใช้งาน 7 ปี โดยรถบรรทุกมีอัตราการเพิ่มขึ้น
5 % คงที่ทุกปี (Growth Factor = 8.14 ) กำหนดให้ในปีแรก
คาดว่าจะมีจำนวนรถทั้งหมดทุกประเภทวันละ
ADT = 20,000 คัน/วัน Directional Value = 60 %
จำนวนรถบรรทุกคิดเป็น 15 % ของรถทั้งหมด และรถบรรทุก
จำนวน 90 % วิ่งอยู่ในช่องทางที่ใช้ออกแบบ
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: 1.3 x 104 คัน
คำตอบ 2: 3.2 x 106 คัน
คำตอบ 3: 4.8 x 106 คัน
คำตอบ 4: 8.0 x 106 คัน
อธิบายคำตอบ:
การคำนวณจำนวนรถบรรทุกในปีแรก = จำนวนวันใน 1 ปี x ADT x Directional Value x จำนวนรถบรรทุกทั้งหมด x จำนวนรถบรรทุกที่วิ่งอยู่ในช่องทางที่ใช้ออกแบบ
จำนวนรถบรรทุกในปีแรก = 365 x 20,000 x 0.60 x 0.15 x 0.90
= 591,300 คัน
การคำนวณจำนวนรถบรรทุกตลอดอายุออกแบบ = จำนวนรถบรรทุกในปีแรก x Growth Factor
จำนวนรถบรรทุกตลอดอายุออกแบบ = 591,300 x 8.14
= 4,813,182 คัน
= 4.8x106 คัน
Flexible and Rigid Pavement Design
วิชา: Highway Engineering
เนื้อหา: Flexible and rigid pavement design
ระดับความยากง่าย: ปานกลาง
จำนวนข้อสอบ: 12 ข้อ
เนื้อหา: Flexible and rigid pavement design
ระดับความยากง่าย: ปานกลาง
จำนวนข้อสอบ: 12 ข้อ
วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ข้อ 2
ข้อที่: 2
โจทย์: จงหาปริมาณของเหล็กตะแกรงตามความยาวของผิวทาง
คอนกรีตขนาด 2 ช่องทาง แผ่นคอนกรีตหนา 20 cm.
ความกว้างของแต่ละช่องทางเท่ากับ 3.50 m. ระยะห่าง
ระหว่างรอยต่อ15 m. กำหนดให้ใช้เหล็กตะแกรงสำเร็จรูป
fs = 2,700 ksc ความหนาแน่นคอนกรีต = 2400 kg/m3
และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน, f มีค่า 1.50
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: 4.0 cm2/m
คำตอบ 2: 2.0 cm2/m
คำตอบ 3: 1.5 cm2/m
คำตอบ 4: 1.0 cm2/m
อธิบายคำตอบ:
โจทย์: จงหาปริมาณของเหล็กตะแกรงตามความยาวของผิวทาง
คอนกรีตขนาด 2 ช่องทาง แผ่นคอนกรีตหนา 20 cm.
ความกว้างของแต่ละช่องทางเท่ากับ 3.50 m. ระยะห่าง
ระหว่างรอยต่อ15 m. กำหนดให้ใช้เหล็กตะแกรงสำเร็จรูป
fs = 2,700 ksc ความหนาแน่นคอนกรีต = 2400 kg/m3
และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน, f มีค่า 1.50
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: 4.0 cm2/m
คำตอบ 2: 2.0 cm2/m
คำตอบ 3: 1.5 cm2/m
คำตอบ 4: 1.0 cm2/m
อธิบายคำตอบ:
ข้อ 3
ข้อที่: 3
โจทย์: ข้อมูลด้านการจราจรที่นำมาใช้ในการออกแบบความหนา
ของถนนลาดยางของกรมทางหลวงคือข้อใด
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: Initial Daily Traffic
คำตอบ 2: Traffic Signalization
คำตอบ 3: Hourly Traffic
คำตอบ 4: Critical Lane Volume
อธิบายคำตอบ:
โครงสร้างถนนลาดยางสามารถออกแบบได้หลากหลายวิธี โดยสามารถแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ประเภท คือ การออกแบบเชิงประสบการณ์ และการออกแบบเชิงวิเคราะห์ การออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางตามวิธีของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 (ค.ศ. 1970) นี้เป็นวิธีเชิงประสบการณ์วิธีหนึ่ง ซึ่งกรมทางหลวงได้เลือกใช้ออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางในประเทศไทยมายาว นานกว่า 25 ปี เพราะสามารถออกแบบได้สะดวก รวดเร็ว และต้องการ การทดสอบวัสดุที่ไม่ยุ่งยากมากนัก ดังนั้นคู่มือฉบับนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางเข้าใจตรงกันถึงหลักการและกระบวนการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางในประเทศไทย และให้สามารถออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางได้อย่างมั่นใจ
หลักการออกแบบ
การออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางโดยวิธี ของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 เป็นวิธีเชิงประสบการณ์ ซึ่งนำเอาข้อมูลจากผลการทดลองในถนนทดสอบ AASHTO Road Test, WASHO Road Test, British Road Test, และประสบการณ์จากงานจริง มาสร้างเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ กับ ความหนาของชั้นพื้นทางที่ต้องการ โดยวัสดุในชั้นพื้นทางที่ได้ตามความสัมพันธ์นี้จะเป็น Asphalt ทั้งหมด หรือที่เรียกว่า Full-Depth Asphalt Thickness (TA) อย่างไรก็ตาม ราคาค่าก่อสร้าง Full-Depth Asphalt Pavement ค่อนข้างสูงมาก และไม่สามารถเลือกใช้วัสดุท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น Asphalt Institute จึงได้กำหนดค่าคงที่มาจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า Substitution Ratio เพื่อใช้แปลงความหนาของวัสดุทดแทนอื่นให้เป็นความหนาของชั้น Asphalt ทำให้ผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้วัสดุอื่นที่ถูกกว่าทดแทนและสามารถกำหนดให้โครงสร้างถนนลาดยางให้มีลักษณะเป็นชั้นๆได้ จากการศึกษาพบว่า ขนาดหน่วยแรงอัดในแนวดิ่งที่เกิดในโครงสร้างชั้นทางจะมีการเปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับความลึก ดังแสดงในรูปที่ 1 โดยหน่วยแรงอัดในแนวดิ่งดังกล่าวจะมีความเข้มข้นสูงบริเวณที่ใกล้กับผิวจราจร และจะลดน้อยลงตามลำดับเมื่อระดับความลึกมากขึ้น ดังนั้นหากต้องการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางให้คุ้มค่าจึงมักออกแบบใช้วัสดุที่มีคุณภาพดีที่สุดไว้ใกล้กับผิวจราจร และวัสดุที่มีคุณภาพรองลงมาให้ใช้ในชั้นลึกลงไป
องค์ประกอบข้อมูลในการออกแบบ
องค์ประกอบข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางตามวิธีของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 ประกอบด้วย ปริมาณการจราจร และ ความแข็งแรงของดินฐานราก ปริมาณการจราจรจัดให้อยู่ในรูปของ Design Traffic Number (DTN) และความแข็งแรงของดินฐานรากให้อยู่ในรูปของค่า CBR, Plate Bearing k-value,หรือ ค่า R-value ค่าใดค่าหนึ่ง องค์ประกอบข้อมูลทั้งสองนี้จะกล่าวอย่างละเอียดในบทที่ 2 และบทที่ 3 ตามลำดับ นอกจากนั้นอัตราส่วนความแข็งแรงของวัสดุต่างๆ ในโครงสร้างชั้นทาง (Substitution Ratios) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่ใช้ในการแปลงความหนาของ Full Depth Asphalt Pavement ให้เป็นถนนที่มีโครงสร้างทางเป็นชั้นๆ โดย Substitution Ratios จะกล่าวในส่วนของการแปลงความหนาโครงสร้างชั้นทางในบทที่ 4
ปริมาณการจราจร
ปริมาณการจราจรที่ใช้ในการออกแบบตามวิธี Asphalt Institute ฉบับที่ 8 จะอยู่ในรูปของ Design Traffic Number (DTN) โดยค่า DTN นั้นหมายถึง จำนวนเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน ของจำนวนรถที่มีน้ำหนักเพลามาตรฐานเท่ากับ 18,000 ปอนด์ (Equivalent Single Axle Loads, ESAL) ที่แปลงมาจากจำนวนรถที่มีชนิดและน้ำหนักเพลาต่างๆกัน ซึ่งคาดว่าจะมาใช้ในช่องจราจรที่ออกแบบตลอดช่วงระยะเวลาที่ออกแบบ การประมาณค่าของ DTN ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายตัวด้วยกัน เช่น ระยะเวลาออกแบบ จำนวนรถบรรทุกหนัก อัตราการเพิ่มของรถบรรทุก ฯลฯ ดังนั้นเพื่อให้ทำความเข้าใจในการหาค่า DTN ง่ายยิ่งขึ้นจึงขอให้คำจำกัดความของตัวแปรต่างๆ ที่จำเป็นต้องทราบดังนี้ Equivalent 18,000-Pound Single-Axle Loads (ESAL) คือ จำนวนเที่ยวของน้ำหนักเพลาเดี่ยวมาตรฐาน 18,000 ปอนด์ ที่เปรียบเทียบแปลงมาจากจำนวนเที่ยวของน้ำหนักเพลาที่มีขนาดและชนิดต่างๆ กัน โดยที่น้ำหนักเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อความเสียหายของโครงสร้างชั้นทางเท่ากัน
Design Lane คือ ช่องจราจรที่มี จำนวน ESAL มากที่สุด โดยปกติแล้ว Design Lane คือ ช่องทางใดช่องทางหนึ่งในถนน 2 ช่องจราจร แต่ถ้าเป็นถนนที่มีช่องจราจรมากกว่า 2 ช่อง มักจะกำหนดช่องซ้ายสุดเป็น Design Lane เนื่องจากในประเทศไทย ช่องซ้ายสุดเป็นช่องจราจรที่รถหนักแล่นผ่านมากที่สุด
Design Period คือ จำนวนปีนับตั้งแต่เปิดจราจรจนถึงปีที่คาดว่าจะต้องปรับปรุงบูรณะโครงสร้างชั้นทางเพื่อให้ถนนใช้การได้ดีอีกครั้ง ผู้ออกแบบไม่ควรสับสนว่า Design Period นี้คือ
Pavement Life เนื่องจาก Pavement Life นั้นจะไม่สิ้นสุดหากว่ามีการปรับปรุงหรือบูรณะโครงสร้าง แต่ Pavement Life จะหมดไปเมื่อคันทางหมดสภาพไปแล้วหรือ แนวคันทางเปลี่ยนไปเท่านั้น
Initial Daily Traffic (IDT) คือ จำนวนของรถทุกชนิดที่คาดว่าจะมาใช้ถนนในปีแรกที่เปิดการจราจร เฉลี่ยต่อวันทั้งสองทิศทาง ค่า IDT ที่ใช้ในปัจจุบันได้จากการสำรวจปริมาณการจราจรและเก็บสถิติเป็นระยะเวลานาน สามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้จากกองวิศวกรรมจราจร กรมทางหลวง 4
Initial Traffic Number (ITN) จำนวนเที่ยว เฉลี่ยต่อวันของ ESAL ซึ่งคาดว่าจะมาใช้ Design Lane ในช่วงปีแรกที่เปิดการจราจร
Design Traffic Number (DTN) คือ จำนวนเที่ยวเฉลี่ยต่อวันของ ESAL ที่คาดว่าจะมาใช้ Design Lane ตลอดช่วงระยะเวลา Design Period
โจทย์: ข้อมูลด้านการจราจรที่นำมาใช้ในการออกแบบความหนา
ของถนนลาดยางของกรมทางหลวงคือข้อใด
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: Initial Daily Traffic
คำตอบ 2: Traffic Signalization
คำตอบ 3: Hourly Traffic
คำตอบ 4: Critical Lane Volume
อธิบายคำตอบ:
โครงสร้างถนนลาดยางสามารถออกแบบได้หลากหลายวิธี โดยสามารถแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ประเภท คือ การออกแบบเชิงประสบการณ์ และการออกแบบเชิงวิเคราะห์ การออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางตามวิธีของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 (ค.ศ. 1970) นี้เป็นวิธีเชิงประสบการณ์วิธีหนึ่ง ซึ่งกรมทางหลวงได้เลือกใช้ออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางในประเทศไทยมายาว นานกว่า 25 ปี เพราะสามารถออกแบบได้สะดวก รวดเร็ว และต้องการ การทดสอบวัสดุที่ไม่ยุ่งยากมากนัก ดังนั้นคู่มือฉบับนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางเข้าใจตรงกันถึงหลักการและกระบวนการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางในประเทศไทย และให้สามารถออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางได้อย่างมั่นใจ
หลักการออกแบบ
การออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางโดยวิธี ของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 เป็นวิธีเชิงประสบการณ์ ซึ่งนำเอาข้อมูลจากผลการทดลองในถนนทดสอบ AASHTO Road Test, WASHO Road Test, British Road Test, และประสบการณ์จากงานจริง มาสร้างเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ กับ ความหนาของชั้นพื้นทางที่ต้องการ โดยวัสดุในชั้นพื้นทางที่ได้ตามความสัมพันธ์นี้จะเป็น Asphalt ทั้งหมด หรือที่เรียกว่า Full-Depth Asphalt Thickness (TA) อย่างไรก็ตาม ราคาค่าก่อสร้าง Full-Depth Asphalt Pavement ค่อนข้างสูงมาก และไม่สามารถเลือกใช้วัสดุท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น Asphalt Institute จึงได้กำหนดค่าคงที่มาจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า Substitution Ratio เพื่อใช้แปลงความหนาของวัสดุทดแทนอื่นให้เป็นความหนาของชั้น Asphalt ทำให้ผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้วัสดุอื่นที่ถูกกว่าทดแทนและสามารถกำหนดให้โครงสร้างถนนลาดยางให้มีลักษณะเป็นชั้นๆได้ จากการศึกษาพบว่า ขนาดหน่วยแรงอัดในแนวดิ่งที่เกิดในโครงสร้างชั้นทางจะมีการเปลี่ยนแปลงสัมพันธ์กับความลึก ดังแสดงในรูปที่ 1 โดยหน่วยแรงอัดในแนวดิ่งดังกล่าวจะมีความเข้มข้นสูงบริเวณที่ใกล้กับผิวจราจร และจะลดน้อยลงตามลำดับเมื่อระดับความลึกมากขึ้น ดังนั้นหากต้องการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางให้คุ้มค่าจึงมักออกแบบใช้วัสดุที่มีคุณภาพดีที่สุดไว้ใกล้กับผิวจราจร และวัสดุที่มีคุณภาพรองลงมาให้ใช้ในชั้นลึกลงไป
องค์ประกอบข้อมูลในการออกแบบ
องค์ประกอบข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบโครงสร้างถนนลาดยางตามวิธีของ Asphalt Institute ฉบับที่ 8 ประกอบด้วย ปริมาณการจราจร และ ความแข็งแรงของดินฐานราก ปริมาณการจราจรจัดให้อยู่ในรูปของ Design Traffic Number (DTN) และความแข็งแรงของดินฐานรากให้อยู่ในรูปของค่า CBR, Plate Bearing k-value,หรือ ค่า R-value ค่าใดค่าหนึ่ง องค์ประกอบข้อมูลทั้งสองนี้จะกล่าวอย่างละเอียดในบทที่ 2 และบทที่ 3 ตามลำดับ นอกจากนั้นอัตราส่วนความแข็งแรงของวัสดุต่างๆ ในโครงสร้างชั้นทาง (Substitution Ratios) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่ใช้ในการแปลงความหนาของ Full Depth Asphalt Pavement ให้เป็นถนนที่มีโครงสร้างทางเป็นชั้นๆ โดย Substitution Ratios จะกล่าวในส่วนของการแปลงความหนาโครงสร้างชั้นทางในบทที่ 4
ปริมาณการจราจร
ปริมาณการจราจรที่ใช้ในการออกแบบตามวิธี Asphalt Institute ฉบับที่ 8 จะอยู่ในรูปของ Design Traffic Number (DTN) โดยค่า DTN นั้นหมายถึง จำนวนเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน ของจำนวนรถที่มีน้ำหนักเพลามาตรฐานเท่ากับ 18,000 ปอนด์ (Equivalent Single Axle Loads, ESAL) ที่แปลงมาจากจำนวนรถที่มีชนิดและน้ำหนักเพลาต่างๆกัน ซึ่งคาดว่าจะมาใช้ในช่องจราจรที่ออกแบบตลอดช่วงระยะเวลาที่ออกแบบ การประมาณค่าของ DTN ขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายตัวด้วยกัน เช่น ระยะเวลาออกแบบ จำนวนรถบรรทุกหนัก อัตราการเพิ่มของรถบรรทุก ฯลฯ ดังนั้นเพื่อให้ทำความเข้าใจในการหาค่า DTN ง่ายยิ่งขึ้นจึงขอให้คำจำกัดความของตัวแปรต่างๆ ที่จำเป็นต้องทราบดังนี้ Equivalent 18,000-Pound Single-Axle Loads (ESAL) คือ จำนวนเที่ยวของน้ำหนักเพลาเดี่ยวมาตรฐาน 18,000 ปอนด์ ที่เปรียบเทียบแปลงมาจากจำนวนเที่ยวของน้ำหนักเพลาที่มีขนาดและชนิดต่างๆ กัน โดยที่น้ำหนักเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อความเสียหายของโครงสร้างชั้นทางเท่ากัน
Design Lane คือ ช่องจราจรที่มี จำนวน ESAL มากที่สุด โดยปกติแล้ว Design Lane คือ ช่องทางใดช่องทางหนึ่งในถนน 2 ช่องจราจร แต่ถ้าเป็นถนนที่มีช่องจราจรมากกว่า 2 ช่อง มักจะกำหนดช่องซ้ายสุดเป็น Design Lane เนื่องจากในประเทศไทย ช่องซ้ายสุดเป็นช่องจราจรที่รถหนักแล่นผ่านมากที่สุด
Design Period คือ จำนวนปีนับตั้งแต่เปิดจราจรจนถึงปีที่คาดว่าจะต้องปรับปรุงบูรณะโครงสร้างชั้นทางเพื่อให้ถนนใช้การได้ดีอีกครั้ง ผู้ออกแบบไม่ควรสับสนว่า Design Period นี้คือ
Pavement Life เนื่องจาก Pavement Life นั้นจะไม่สิ้นสุดหากว่ามีการปรับปรุงหรือบูรณะโครงสร้าง แต่ Pavement Life จะหมดไปเมื่อคันทางหมดสภาพไปแล้วหรือ แนวคันทางเปลี่ยนไปเท่านั้น
Initial Daily Traffic (IDT) คือ จำนวนของรถทุกชนิดที่คาดว่าจะมาใช้ถนนในปีแรกที่เปิดการจราจร เฉลี่ยต่อวันทั้งสองทิศทาง ค่า IDT ที่ใช้ในปัจจุบันได้จากการสำรวจปริมาณการจราจรและเก็บสถิติเป็นระยะเวลานาน สามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้จากกองวิศวกรรมจราจร กรมทางหลวง 4
Initial Traffic Number (ITN) จำนวนเที่ยว เฉลี่ยต่อวันของ ESAL ซึ่งคาดว่าจะมาใช้ Design Lane ในช่วงปีแรกที่เปิดการจราจร
Design Traffic Number (DTN) คือ จำนวนเที่ยวเฉลี่ยต่อวันของ ESAL ที่คาดว่าจะมาใช้ Design Lane ตลอดช่วงระยะเวลา Design Period
ข้อ 4
ข้อที่: 4
โจทย์: Traffic Data in Year 1993 ADT = 1987 vpd
Finish Design in Year 1995
Start Construction in Year 1996
Finish Construction and Start Operation in 1998
จงหา ADT in Year 1998 เมื่อ Traffic Growth Rate = 6%
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: 2233 vpd
คำตอบ 2: 2367 vpd
คำตอบ 3: 2509 vpd
คำตอบ 4: 2659 vpd
อธิบายคำตอบ:

จากสมการ Y = X(1+r)n
X = ADT = 1987 vpd
r = Traffic Growth Rate = 0.06
n = Finish Construction and Start Operation in 1998 - Traffic Data in Year 1993
= 1998 – 1993 = 5
Y = 1987(1+0.06)5 = 2659 vpd
โจทย์: Traffic Data in Year 1993 ADT = 1987 vpd
Finish Design in Year 1995
Start Construction in Year 1996
Finish Construction and Start Operation in 1998
จงหา ADT in Year 1998 เมื่อ Traffic Growth Rate = 6%
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: 2233 vpd
คำตอบ 2: 2367 vpd
คำตอบ 3: 2509 vpd
คำตอบ 4: 2659 vpd
อธิบายคำตอบ:
จากสมการ Y = X(1+r)n
X = ADT = 1987 vpd
r = Traffic Growth Rate = 0.06
n = Finish Construction and Start Operation in 1998 - Traffic Data in Year 1993
= 1998 – 1993 = 5
Y = 1987(1+0.06)5 = 2659 vpd
ข้อ 5
ข้อที่: 5
โจทย์: ข้อใดเป็นแบบขยายรอยต่อเพื่อการก่อสร้าง
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1:

คำตอบ 2:

คำตอบ 3:

คำตอบ 4:

อธิบายคำตอบ:
ช่วงของรอยต่อก่อสร้าง spacing of constructionjoint or interval of construction joint ช่องว่างของรอยต่อก่อสร้างประมาณ 1 ซม. ok. แต่ระยะห่างของรอยต่อก่อสร้าง ขึ้นกับว่าคุณจะหยุดก่อสร้างที่ตำแหน่งใด โดยปกติ เราก็ให้มันเท่าๆกับรอยต่อเพื่อป้องกันการยืดหดตัว Contraction joint (ต่างกับรอยต่อก่อสร้างตรงที่ เราเทคอนกรีตต่อเนื่องไปเรื่อยๆแล้วมาตัดรอยต่อทีหลัง โดยมีเหล็กเดือยเหมือนกัน แต่ของก่อสร้างเราหยุดให้หน้าตัดเป็นแนวดิ่งตั้งฉากโดยมีเหล็กเดือยโผล่ไว้ เมื่อทำงานต่อ ก็เทคอนกรีตต่อไปเลย โดยระยะห่างของรอยต่อทั่วไปทุก 10 เมตร) ส่วนรอยต่อเพื่อการขยายตัว expansion joint นั้น ระยะห่างของรอยต่อประมาณ 150-250 เมตร ขึ้นกับว่าอุณหภูมิ ต่างกันสูงมากน้อยเพียงใด ระหว่างกลางคืนกับกลางวัน ส่วนช่องเว้นของรอยต่อก็ราว 10-15 มม.
โจทย์: ข้อใดเป็นแบบขยายรอยต่อเพื่อการก่อสร้าง
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1:
คำตอบ 2:
คำตอบ 3:
คำตอบ 4:
อธิบายคำตอบ:
ช่วงของรอยต่อก่อสร้าง spacing of constructionjoint or interval of construction joint ช่องว่างของรอยต่อก่อสร้างประมาณ 1 ซม. ok. แต่ระยะห่างของรอยต่อก่อสร้าง ขึ้นกับว่าคุณจะหยุดก่อสร้างที่ตำแหน่งใด โดยปกติ เราก็ให้มันเท่าๆกับรอยต่อเพื่อป้องกันการยืดหดตัว Contraction joint (ต่างกับรอยต่อก่อสร้างตรงที่ เราเทคอนกรีตต่อเนื่องไปเรื่อยๆแล้วมาตัดรอยต่อทีหลัง โดยมีเหล็กเดือยเหมือนกัน แต่ของก่อสร้างเราหยุดให้หน้าตัดเป็นแนวดิ่งตั้งฉากโดยมีเหล็กเดือยโผล่ไว้ เมื่อทำงานต่อ ก็เทคอนกรีตต่อไปเลย โดยระยะห่างของรอยต่อทั่วไปทุก 10 เมตร) ส่วนรอยต่อเพื่อการขยายตัว expansion joint นั้น ระยะห่างของรอยต่อประมาณ 150-250 เมตร ขึ้นกับว่าอุณหภูมิ ต่างกันสูงมากน้อยเพียงใด ระหว่างกลางคืนกับกลางวัน ส่วนช่องเว้นของรอยต่อก็ราว 10-15 มม.
ข้อ 6
ข้อที่: 6
โจทย์: จงหาหน่วยแรงที่เกิดในถนนคอนกรีตที่จุดกึ่งกลางความยาวถนน
จากแรงฝืดเมื่อถนนเป็นแผ่นคอนกรีตหนา 20 ซม. ยาว 15 เมตร
สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างแผ่นคอนกรีตกับพื้นทาง
เท่ากับ 1.5
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: 2.70 กก/ตร.ซม.
คำตอบ 2: 3.50 กก/ตร.ซม
คำตอบ 3: 4.30 กก/ตร.ซม.
คำตอบ 4: 5.40 กก/ตร.ซม
อธิบายคำตอบ:
โจทย์: จงหาหน่วยแรงที่เกิดในถนนคอนกรีตที่จุดกึ่งกลางความยาวถนน
จากแรงฝืดเมื่อถนนเป็นแผ่นคอนกรีตหนา 20 ซม. ยาว 15 เมตร
สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างแผ่นคอนกรีตกับพื้นทาง
เท่ากับ 1.5
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: 2.70 กก/ตร.ซม.
คำตอบ 2: 3.50 กก/ตร.ซม
คำตอบ 3: 4.30 กก/ตร.ซม.
คำตอบ 4: 5.40 กก/ตร.ซม
อธิบายคำตอบ:
ข้อ 7
ข้อที่: 7
โจทย์: ในการจำลองโครงสร้างทางแบบยึดหยุ่น (Flexible) เป็นโครงสร้าง
3 ชั้น ดังรูป Stresses / Strains ที่วิกฤตในการออกแบบ
โครงสร้างทาง คือ ข้อใด
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: Tensile stresses และ Compressive strains ที่ผิวล่างของชั้น
Bituminous bound layer
คำตอบ 2: Tensile stresses ที่ผิวล่างของชั้น Bituminous bound layer
และ Compressive strains ที่ด้านบนของชั้น Subgrade
คำตอบ 3: Tensile stresses และ Compressive strains ที่ด้านบนของ
ชั้น Subgrade
คำตอบ 4: Compressive strains ที่ผิวล่างของชั้น Bituminous bound layer
และ Tensile stresses ด้านบนของชั้น Subgrade
อธิบายคำตอบ:
Mechanical properties คือ พฤติกรรมอย่างหนึ่งของวัสดุ ที่สามารถแสดงออกมาเมื่อมีแรงจากภายนอกมากระทำ โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเค้น (stress) และความเครียด(stain)
ความเค้น (Stress)
เป็นลักษณะของแรงต้านที่อยู่ภายในวัสดุทางโครงสร้าง ที่มีความพยายามในการต้านทานต่อแรงภายนอกที่มากระทำต่อวัสดุนั้นๆ โดยพิจารณาจาก อัตราส่วนระหว่างแรงทั้งหมดที่กระทำต่อผิววัตถุต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง

ชนิดของความเค้น
- Tensile Stress ความเค้นแรงดึงเป็นความเค้นที่เกิดจากแรงดึง(Tensile Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Compressive Stress ความเค้นแรงกด หรือ ความเค้นแรงอัด เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงกด ( Compressive Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Shear Stress ความเค้นแรงเฉือน เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงเฉือน (Shear Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Bending Stress ความเค้นแรงดัน เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงดัน (Bendins Force)ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Torsion Stress ความเค้นแรงบิด เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงบิด(Torque) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- ความเครียด (Stain)
เป็นแรงที่มากระทำต่อโครงสร้าง จนโครงสร้างเกิดรับแรงนั้นไว้ไม่ไหว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างไปในทิศทางของแรงที่มากระทำ เช่น เกิดการยืดตัวออก (Elongation) หรือหดตัวเข้า(Contraction)โดยขนาดของความเครียดนี้พิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างระยะยืด/หดที่เปลี่ยนแปลงต่อความยาวเดิมของโครงสร้าง
ชนิดของความเครียด
- Tensile Stain ความเครียดแรงดึงเป็นความเครียดที่เกิดจากแรงดึง (Tensile Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
- Compressive Stain ความเครียดแรงกด หรือ ความเครียดแรงอัดเป็นความเครียดที่เกิดจากแรงกด (Compressive Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
- Shear Stain ความเครียดแรงเฉือน เป็นความเครียดที่เกิดจากแรงเฉือน(Shear Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
คุณสมบัติของวัสดุโครงสร้าง
วัสดุที่เลือกใช้ทางโครงสร้างมีความจำเป็นที่ผู้ออกแบบต้องรู้คุณสมบัติทางโครงสร้างของวัสดุแต่ละชนิดเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสม
Elastic – Plastic behavior
คุณสมบัติของวัสดุทางโครงสร้างซึ่งถูกแรงกระทำแล้วสามารถทำให้แรงนั้นหายไปอย่างรวดเร็วเรียกว่า elastic behavior เหมือนการดึงยาง เมื่อไม่มีแรงกระทำก็คืนสู่สภาพเดิม
วัสดุทางโครงสร้างทุกชนิดถึงแม้ว่าจะมีความยืดหยุ่นสูงแต่ก็มีขอบเขต วัสดุที่ถูกแรงกระทำเกินขีดจำกัดจะเกิดการเสียรูปไป โดยคุณสมบัติของวัสดุทางโครงสร้างที่เสียรูปไปนี้ เรียกว่าplastic behavior เหมือนกับการดึงยางจนยึดและให้คืนสู่สภาพเดิม


ลักษณะของวัสดุที่ทนแรง elastic behavior จนถึงขีดสุด เรียกจุดที่วัสดุเปลี่ยนจากสถานภาพจาก elastic นี้ว่าจุดคราก (yield point) และเมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนรูปที่เรียกว่า plastic behavior
สมบัติทางโครงสร้างที่ได้จากการทดสอบแรงดึงของวัสดุ มีดังนี้
1. โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก (Modulus of elasticity)
2. ความเค้นและความเครียด ณ จุดคราก (Stress and strain at yield)
3. ความต้านทานแรงดึงสูงสุด (Ultimate tensile stress)
4. เปอร์เซ็นต์การยืดตัว (Percent elongation)
Modulus of elasticity
โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก : เป็นค่าความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุ เมื่อได้รับแรงกระทำ สามารถพิจารณาได้จากความชันของกราฟระหว่างความเค้น (stress) และความเครียด (strain) ของวัสดุในระยะแรก ที่ยังแสดงคุณสมบัติยืดหยุ่น (elastic) อยู่
เมื่อออกแรงดึงเส้นวัสดุโดยไม่ให้ขนาดของแรงดึงเกินขีดจำกัดการแปรผันตรงของวัสดุ ความเค้นจะแปรผันตรงกับความเครียด นั่นคืออัตราส่วนระหว่างความเค้นและความเครียดของวัสดุชนิดหนึ่งๆ จะมีค่าคงตัว เรียกค่าคงที่นี้ว่ามอดูลัสของยัง (Young’s modulus) แทนด้วยสัญลักษณ์ Y
Stress and strain at yield
ความเค้นและความเครียด ณ จุดคราก : เป็นค่าความเค้นและความเครียดของวัสดุ ณ จุดที่เปลี่ยน คุณสมบัติจากอิลาสติก (elastic) ไปเป็นพลาสติก (plastic) หรืออีกนัยหนึ่ง วัสดุนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างถาวรเมื่อความเค้นหรือความเครียดมีค่ามากกว่านี้
Ultimate tensile strength
ความต้านทานแรงดึงดูด : คือความแข็งแรงสูงสุดของวัสดุ
Percent elongation (%)
เปอร์เซ็นต์การยืดตัว : เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุทางโครงสร้างตัวอย่างภายใต้แรงดึงเมื่อเทียบกับระยะการวัด (gage length) ของวัสดุทดสอบ และยังเป็นค่าที่ใช้บอกถึงความอ่อน (ductile) ของวัสดุ โดยทั่วไปโลหะยิ่งอ่อนยิ่งมีค่าเปอร์เซ็นต์ความยืดมากแสดงว่าโลหะนั้นเปลี่ยนรูปมาก
Material constants and safety factor
การเลือกใช้วัสดุทางโครงสร้างต่างชนิดกันก็มีการเสียรูปเมื่อมีแรงมากระทำที่ไม่เหมือนกัน เช่น ลวดเหล็กยาว 5 เมตร เมื่อรับน้ำหนัก 1000 กิโลกรัม ลวดจะมีความยาวเพิ่ม 2/3 เซนติเมตร ลวดอลูมิเนียมมีความยาวและน้ำหนักเท่ากันจะมีความยาวเพิ่ม 2 เซนติเมตร แล้วแต่คุณสมบัติของวัสดุนั้นๆ
เหตุนี้ทำให้เราต้องรู้ถึงโครงสร้างและคุณสมบัติของวัสดุอย่างถูกต้อง
โจทย์: ในการจำลองโครงสร้างทางแบบยึดหยุ่น (Flexible) เป็นโครงสร้าง
3 ชั้น ดังรูป Stresses / Strains ที่วิกฤตในการออกแบบ
โครงสร้างทาง คือ ข้อใด
รูปภาพประกอบคำถาม:
คำตอบ 1: Tensile stresses และ Compressive strains ที่ผิวล่างของชั้น
Bituminous bound layer
คำตอบ 2: Tensile stresses ที่ผิวล่างของชั้น Bituminous bound layer
และ Compressive strains ที่ด้านบนของชั้น Subgrade
คำตอบ 3: Tensile stresses และ Compressive strains ที่ด้านบนของ
ชั้น Subgrade
คำตอบ 4: Compressive strains ที่ผิวล่างของชั้น Bituminous bound layer
และ Tensile stresses ด้านบนของชั้น Subgrade
อธิบายคำตอบ:
Mechanical properties คือ พฤติกรรมอย่างหนึ่งของวัสดุ ที่สามารถแสดงออกมาเมื่อมีแรงจากภายนอกมากระทำ โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเค้น (stress) และความเครียด(stain)
ความเค้น (Stress)
เป็นลักษณะของแรงต้านที่อยู่ภายในวัสดุทางโครงสร้าง ที่มีความพยายามในการต้านทานต่อแรงภายนอกที่มากระทำต่อวัสดุนั้นๆ โดยพิจารณาจาก อัตราส่วนระหว่างแรงทั้งหมดที่กระทำต่อผิววัตถุต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
ชนิดของความเค้น
- Tensile Stress ความเค้นแรงดึงเป็นความเค้นที่เกิดจากแรงดึง(Tensile Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Compressive Stress ความเค้นแรงกด หรือ ความเค้นแรงอัด เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงกด ( Compressive Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Shear Stress ความเค้นแรงเฉือน เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงเฉือน (Shear Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Bending Stress ความเค้นแรงดัน เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงดัน (Bendins Force)ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- Torsion Stress ความเค้นแรงบิด เป็นความเค้นที่เกิดจากแรงบิด(Torque) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยพื้นที่รับแรง
- ความเครียด (Stain)
เป็นแรงที่มากระทำต่อโครงสร้าง จนโครงสร้างเกิดรับแรงนั้นไว้ไม่ไหว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างไปในทิศทางของแรงที่มากระทำ เช่น เกิดการยืดตัวออก (Elongation) หรือหดตัวเข้า(Contraction)โดยขนาดของความเครียดนี้พิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างระยะยืด/หดที่เปลี่ยนแปลงต่อความยาวเดิมของโครงสร้าง
ชนิดของความเครียด
- Tensile Stain ความเครียดแรงดึงเป็นความเครียดที่เกิดจากแรงดึง (Tensile Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
- Compressive Stain ความเครียดแรงกด หรือ ความเครียดแรงอัดเป็นความเครียดที่เกิดจากแรงกด (Compressive Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
- Shear Stain ความเครียดแรงเฉือน เป็นความเครียดที่เกิดจากแรงเฉือน(Shear Force) ที่มากระทำต่อ 1 หน่วยความยาวของวัสดุ
คุณสมบัติของวัสดุโครงสร้าง
วัสดุที่เลือกใช้ทางโครงสร้างมีความจำเป็นที่ผู้ออกแบบต้องรู้คุณสมบัติทางโครงสร้างของวัสดุแต่ละชนิดเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสม
Elastic – Plastic behavior
คุณสมบัติของวัสดุทางโครงสร้างซึ่งถูกแรงกระทำแล้วสามารถทำให้แรงนั้นหายไปอย่างรวดเร็วเรียกว่า elastic behavior เหมือนการดึงยาง เมื่อไม่มีแรงกระทำก็คืนสู่สภาพเดิม
วัสดุทางโครงสร้างทุกชนิดถึงแม้ว่าจะมีความยืดหยุ่นสูงแต่ก็มีขอบเขต วัสดุที่ถูกแรงกระทำเกินขีดจำกัดจะเกิดการเสียรูปไป โดยคุณสมบัติของวัสดุทางโครงสร้างที่เสียรูปไปนี้ เรียกว่าplastic behavior เหมือนกับการดึงยางจนยึดและให้คืนสู่สภาพเดิม
ลักษณะของวัสดุที่ทนแรง elastic behavior จนถึงขีดสุด เรียกจุดที่วัสดุเปลี่ยนจากสถานภาพจาก elastic นี้ว่าจุดคราก (yield point) และเมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนรูปที่เรียกว่า plastic behavior
สมบัติทางโครงสร้างที่ได้จากการทดสอบแรงดึงของวัสดุ มีดังนี้
1. โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก (Modulus of elasticity)
2. ความเค้นและความเครียด ณ จุดคราก (Stress and strain at yield)
3. ความต้านทานแรงดึงสูงสุด (Ultimate tensile stress)
4. เปอร์เซ็นต์การยืดตัว (Percent elongation)
Modulus of elasticity
โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก : เป็นค่าความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุ เมื่อได้รับแรงกระทำ สามารถพิจารณาได้จากความชันของกราฟระหว่างความเค้น (stress) และความเครียด (strain) ของวัสดุในระยะแรก ที่ยังแสดงคุณสมบัติยืดหยุ่น (elastic) อยู่
เมื่อออกแรงดึงเส้นวัสดุโดยไม่ให้ขนาดของแรงดึงเกินขีดจำกัดการแปรผันตรงของวัสดุ ความเค้นจะแปรผันตรงกับความเครียด นั่นคืออัตราส่วนระหว่างความเค้นและความเครียดของวัสดุชนิดหนึ่งๆ จะมีค่าคงตัว เรียกค่าคงที่นี้ว่ามอดูลัสของยัง (Young’s modulus) แทนด้วยสัญลักษณ์ Y
Stress and strain at yield
ความเค้นและความเครียด ณ จุดคราก : เป็นค่าความเค้นและความเครียดของวัสดุ ณ จุดที่เปลี่ยน คุณสมบัติจากอิลาสติก (elastic) ไปเป็นพลาสติก (plastic) หรืออีกนัยหนึ่ง วัสดุนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างถาวรเมื่อความเค้นหรือความเครียดมีค่ามากกว่านี้
Ultimate tensile strength
ความต้านทานแรงดึงดูด : คือความแข็งแรงสูงสุดของวัสดุ
Percent elongation (%)
เปอร์เซ็นต์การยืดตัว : เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุทางโครงสร้างตัวอย่างภายใต้แรงดึงเมื่อเทียบกับระยะการวัด (gage length) ของวัสดุทดสอบ และยังเป็นค่าที่ใช้บอกถึงความอ่อน (ductile) ของวัสดุ โดยทั่วไปโลหะยิ่งอ่อนยิ่งมีค่าเปอร์เซ็นต์ความยืดมากแสดงว่าโลหะนั้นเปลี่ยนรูปมาก
Material constants and safety factor
การเลือกใช้วัสดุทางโครงสร้างต่างชนิดกันก็มีการเสียรูปเมื่อมีแรงมากระทำที่ไม่เหมือนกัน เช่น ลวดเหล็กยาว 5 เมตร เมื่อรับน้ำหนัก 1000 กิโลกรัม ลวดจะมีความยาวเพิ่ม 2/3 เซนติเมตร ลวดอลูมิเนียมมีความยาวและน้ำหนักเท่ากันจะมีความยาวเพิ่ม 2 เซนติเมตร แล้วแต่คุณสมบัติของวัสดุนั้นๆ
เหตุนี้ทำให้เราต้องรู้ถึงโครงสร้างและคุณสมบัติของวัสดุอย่างถูกต้อง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)